ค้นหาบล็อกนี้

วันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556

7 เทคนิคลัด เทคนิคลับ ในการอ่านหนังสือให้จำ ในเวลาที่จำกัด

11 มิถุนายน 2556

เทคนิคลับ ในการอ่านหนังสือให้จำ

หลายคนคงจะเคยเจอปัญหาในการอ่านหนังสือมามากมาย เช่น อ่านยังไงก็ไม่จำ ไม่มีสมาธิ ไม่รู้จะเริ่มต้นอ่านตรงไหนก่อน เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก็จะสอบแล้ว ยังอ่านหนังสือได้ไม่ถึงครึ่งเลย ไม่รู้จะวางแผนการอ่านหนังสือยังไงดี ลองเอาเทคนิคเหล่านี้ไปใช้ดู น่าจะช่วยเพื่อนๆ ได้เยอะ
 
1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือซะก่อน หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัวหรอก
2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดัน และกระตุ้นให้เพื่อนๆ มีความอยากในการอ่านหนังสือ วิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือพยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เพื่อนๆ ได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจ หรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้
3. พยายามสรุปเรื่องที่เราอ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆ วิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กัน และวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น
4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง
5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา
6. เตรียมตัว และให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น เพื่อนๆ หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ
7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้ว ก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพัก เช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น

วันอาทิตย์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทที่ 3

   
เทคนิค อ่านหนังสือ ให้แม่น(ก่อน สอบ) ในเวลาจำกัด!!!
ช่วงนี้เพื่อนๆก็คงจะเริ่ม สอบ ยิ๊บย่อยๆบางรายวิชากันบ้างแล้ว คงจะเบื่อการเรียนกันแน่ๆ อยากจะเปิดเทอมกันแล้วหล่ะสิ .. แต่กว่าจะไปถึงฝันนั้นก็ต้องผ่านด่าน สอบ หฤโหด กันไปให้ได้ซะก่อน อยากจะสอบให้ผ่าน แต่ดันขี้เเกียจอ่านหนังสือนี่สิ เรื่องใหญ่นะจ๊ะ !! งั้นวันนี้ Teen..mthai มี เทคนิค การ อ่านหนังสือ ให้แม่น(ก่อน สอบ) ในเวลาจำกัด มาให้เพื่อนๆดูกัน เผื่อว่ากระทันหันไม่มีเวลาอ่าน ขอแค่เวลาแปบเดียวก็จำได้แล้ว ลองดูนะ

1. ต้องสร้างทัศนคติที่ดีต่อการ อ่านหนังสือ ซะก่อนนะจ๊ะ หากมีทัศนคติที่แย่ๆ ต่อการอ่านหนังสือแล้ว อ่านถึง 10 รอบก็ไม่มีทางจำได้ อ่านเยอะอย่างไรก็ไม่เข้าหัวหรอก
2. เมื่อมีทัศนคติที่ดีต่อการอ่านหนังสือแล้ว ก็ต้องมาสร้างแรงจูงใจในการอ่านหนังสือด้วย แรงจูงใจจะเป็นตัวผลักดัน และกระตุ้นให้เพื่อนๆ มีความอยากในการอ่านหนังสือ วิธีการสร้างแรงจูงใจก็คือพยายามคิดถึงผลที่จะเกิดขึ้น ถ้าเราอ่านหนังสือสำเร็จ เช่น ถ้าเราตั้งใจอ่านหนังสือและเตรียมความฟิตให้ตัวเองจนพร้อมแล้ว เราก็สามารถตะลุยข้อสอบได้ ผลก็คือได้คะแนนเป็นที่น่าพอใจ จากจุดนี้ก็จะทำให้เพื่อนๆ ได้เกรดสูงๆ หรือไม่ก็ Admissions ติด พ่อ แม่ พี่ น้อง ก็จะดีใจ หรืออาจจะได้รับของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากท่านอีกก็ได้
3. พยายามสรุปเรื่องที่เรา อ่านแล้วจำเป็นรูปภาพ ปกติแล้วมนุษย์จะจำเรื่องราวทั้งหมดเป็นรูปภาพ หลายๆ วิชาที่ไม่มีรูปภาพประกอบทำให้เราอ่านแล้วไม่สามารถจินตาการ หรือจดจำได้ ให้เพื่อนๆ สรุปเรื่องที่เราอ่านแล้ว นำมาทำเป็น My map เพื่อเชื่อมโยงในส่วนที่สัมพันธ์กัน และวาดให้เป็นความเข้าใจของตัวเอง จะทำให้จำได้แม่นขึ้น
4. หาเวลาติวให้เพื่อน เป็นวิธีการทบทวนความรู้ไปในตัวได้ดีที่สุด เพราะเราจะสอนออกมาจากความเข้าใจของตัวเราเอง หากติวแล้วเพื่อนที่เราติวให้เข้าใจ ถือว่าเราแตกฉานในความรู้นั้นได้อย่างแท้จริง
5. เน้นการตะลุยโจทย์ให้เยอะๆ พยายามหาข้อสอบย้อนหลังมาทำให้ได้มากที่สุด เพราะการตะลุยโจทย์จะทำให้เราจำได้ง่ายกว่าการอ่านเนื้อหา
6. เตรียมตัว และให้ความสำคัญในการอ่านหนังสือในวิชาที่เราถนัดมากกว่าวิชาที่ดันไม่ขึ้น เพื่อนๆ หลายคนเข้าใจผิด ไปทุ่มเทเวลาให้กับวิชาที่เราไม่ถนัด วิชาไหนที่เราไม่ถนัด ดันยังไงมันก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า เอาเวลาไปทุ่มให้กับวิชาที่เราทำได้ให้ชัวร์ดีกว่า จะได้เอาคะแนนไปถัวเฉลี่ยกับวิชาอื่นๆ แบบนี้เข้าท่ากว่าเยอะนะ
7. สมาธิเป็นสิ่งสำคัญมากในการอ่านหนังสือ การอ่านหนังสือให้มีประสิทธิภาพ ต้องมีสมาธิดี ใครที่สมาธิสั้น จะจำยาก ลืมง่าย ใครสมาธิดี จะจำง่าย ลืมยาก การอ่านหนังสือ ต้องอ่านต่อเนื่องอย่างน้อย ชั่วโมงครึ่ง 30 นาทีแรกจิตใจของเรากำลังฟุ้ง ให้พยายามปรับให้นิ่ง 60 นาทีหลัง ใจนิ่งมีสมาธิแล้ว ก็พร้อมรับสิ่งใหม่ เข้าสู่สมอง ที่สำคัญอย่าเอาขยะมาใส่หัว ห้ามคิดเรื่องพวกนี้ซักพัก เช่น เรื่องหนัง , เกม , แฟน พยายามออกกำลังกาย ดูแลสุขภาพ สิ่งเหล่านี้จะช่วยให้จิตใจเรานิ่งขึ้น
                                        ต้นเฟิร์น

วันอาทิตย์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2556

บทที่ 2 ความรู้สึกที่ต้องเจอ

สวัสดีเพื่อนๆเด็กแอดทุกคน ตอนนี้เรียกตัวเองได้อย่างเต็มภาคภูมิว่า ตัวเองเป็นเด็กแอด 5555555555


เดือนนี้เป็นเดือนที่อะไรๆ ก็ผ่านไปเร็ว แปปเดียวจากการสอบ O-net ก็จะสอบ GAT/PAT รอบ 2 เร็วมาก

ความรู้สึกในเดือนนี้ ทั้งเหนื่อย ทั้งท้อแท้ ทั้งไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือ ทั้งสุข ทั้งทุกข์ ทั้งเศร้า ปะปนกันไป

 
เหนื่อยที่ต้องสอบเยอะแยะไปหมด ต้องไล่เรียนพิเศษจนไม่ค่อยได้พักผ่อนเท่าไหร่ 
 
ท้อแท้ ที่การสอบแต่ละครั้งๆก็ออกคนละแนว ไม่รู้ว่าจะอ่านแบบไหน อ่านไปบางทีก็ไม่ตรง อ่านไปเท่านี้ก็ออกเท่านั้น

ไม่มีอารมณ์อ่านหนังสือ ก็มาจากความเหนื่อยและท้อแท้ครับ จนเครียดไปเลยจ้า ปวดหัวเกือบทุกวัน นอนก็ไม่ได้นอน งานก็เยอะเพราะก่อนปิดเทอมตั้งเคลียร์ทุกอย่างให้เสร็จสิ้น

สุข-ทุกข์ ก็มาจากผลการสอบจ้ะ บางครั้งก็ได้เกินคาด บางครั้งก็ไม่ได้เป็นไปอย่างที่หวัง

เศร้า ความรู้สึกนี้มันเกิดขึ้นเพราะการนับถอยหลังวันปิดเทอมนี่แหละ เหมือนเป็นการนับเวลาที่ต้องจากเพื่อน จากโรงเรียนที่อยู่มา 6 ปี จากครู จากห้องเรียนที่เป็นที่นอนแห่งที่ 2 55555555555


 
แต่ถึงอารมณ์ของเราจะเป็นยังไง เวลาก็ต้องผ่านไปอยู่ดี 
 
รู้ว่าเพื่อนๆก็คงเป็นแบบนี้เหมือนกัน ความรู้สึกต่างๆ ผ่านเข้ามาแล้วมันก็ผ่านไป ไม่มีอะไรยั่งยืน เพราะฉนั้นเราต้องเตรียมตัวรับกับความเปลี่ยนแปลงเสมอนะ
 
สู้ๆ สู้ไปด้วยกัน สู้ไปพร้อมกันนะ


ต้นเฟิร์น

บทที่ 1 เคล็ดลับแนวๆ สำหรับคนอยากเริ่มต้นอ่านหนังสือ

          มีคนเข้ามาอ่านเรื่อยๆ ดีใจเหมือนกันนะคะ ^^ ถามเข้ามาได้เลยนะคะ ต้นเฟิร์นว่างจะช่วยตอบอยู่แล้ว ตอนนี้ต้นเฟิร์นแทบจะนั่งเฝ้าอยู่ละเนี่ย อยากให้ถามกันเยอะๆ มันทำให้ต้นเฟิร์นรู้สึกมีประโยชน์นะคะ ใครไม่กล้าถามตรงนี้ หลังไมค์ก็ได้ค่ะ
          ตอนแรกว่าจะเขียนลงตอนที่แล้ว แต่ดูท่าว่าจะยาว เลยเปิดตอนใหม่ดีกว่า (ใช้ความรู้สึกล้วนๆ เขียนสดก็อย่างนี้แหละค่ะ 555)

--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------

          เริ่มกันเลยดีกว่า
แต่บอกไว้ก่อนนะคะ วิธีการของต้นเฟิร์นอาจจะไม่เหมาะสำหรับบางคน เอาไปปรับให้เหมาะสมกับตัวเองดีกว่าค่ะ


          สำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มต้นอ่านหนังสือยังไง ต้นเฟิร์นมีวิธีค่ะ ใช้ได้จริงด้วย แต่เหนื่อยหน่อยนะคะ แหะๆ ที่ว่าเหนื่อยเนี่ย ต้นเฟิร์นจะขอให้ทุกคนเขียนหัวข้อของทุกวิชาค่ะ ยิ่งละเอียดเท่าไหร่ยิ่งดี มันจะทำให้เราหาจุดอ่อนของเราเจอง่ายขึ้น ตัวอย่าง เช่น วิชาชีวะ มีหัวข้อใหญ่เป็นเรื่อง เซลล์ พืช ระบบต่างๆ พันธุศาสตร์ ประมาณนี้ ในเรื่องแต่ละเรื่องย่อยเป็นอะไรลงไปบ้าง เขียนออกมากค่ะ เช่น เซลล์>เซลล์พืช เซลล์สัตว์ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆค่ะทุกวิชา

พอเราได้รายการของเราออกมาแล้ว เราก็มานั่งจ้องมันค่ะ 555
         หมวดที่ลองดูนะคะว่าเรื่องไหนที่เราทำได้บ้าง เอาที่คิดว่าเราได้แน่ๆ ไม่ต้องอ่านทำได้ชัวร์ ขีดด้วยปากกาสีนึง

         หมวดที่หาเรื่องที่เราคิดว่า อ้ะ! ลืมอ่ะ ติดอยู่ปลายลิ้นเนี่ย ถ้าได้ลองอ่านผ่านๆก็จำได้ละ ขีดด้วยปากกาสีนึง

         หมวดที่ลองหาเรื่องที่ให้ฟิลว่า ลืมโดยสิ้นเชิง แต่เคยทำได้นะ ลองอ่านอีกสักรอบสองรอบก็กู้กลับมาได้หมดละ ขีดด้วยปากกาสีนึง

         หมวดที่อันนี้ขอเรื่องที่(ขอใช้คำไม่สุภาพนิดนึงนะคะ เพื่อให้เห็นภาพ) แมร่*ง ไม่รู้เรื่องเลย ตั้งแต่เรียนละ ต้นเฟิร์นขอปากกาสีแดงเลย 555

(เรื่องสี แล้วแต่เลยนะคะ แต่เอาที่มันเห็นระดับความสำคัญชัดเจนละกัน)




โอเค ทุกคนได้หมวดของตัวเองแล้วนะคะ

         ทีนี้เราจะมาจัดวิธีการอ่านหนังสือกัน ขอบอกไว้ก่อนนะคะว่าวิธีนี้สำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มยังไงดีจริงๆ ถ้าใครที่มีแนวทางเป็นของตัวเอง แล้วคิดว่าเริ่ดอยู่แล้ว ทำต่อไปนะคะ จะได้ไม่ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่ ^^

         สำหรับหมวดที่ 1 ต้นเฟิร์นแนะนำให้ไม่ต้องอ่านแล้วค่ะ หรือถ้าใครอยากอ่านก็อ่านแบบผ่านๆก็พอ เสริมความมั่นใจ ให้เริ่มทำข้อสอบไปเลยนะคะ ทำไปเรื่อยๆแล้วเราจะเห็นเองว่าควรจะเน้นตรงไหนเป็นพิเศษ

         หมวดที่ 2 อันนี้คล้ายหมวดแรกค่ะ แต่โฟกัสไปตรงที่เราคิดว่า เราลืมบ่อยๆนะ พอเราอ่านจบแล้วก็เริ่มทำข้อสอบเลยค่ะ โดยส่วนตัวต้นเฟิร์นจะมีหมวดนี้มากที่สุด เลยใช้เวลาอ่านน้อยค่ะ แล้วได้ทำข้อสอบค่อนข้างเยอะ(แต่เว้นวิชาฟิสิกส์กับเคมีไว้นะคะ สองอันนี้ ส่วนใหญ่อยู่หมวดสองอันหลัง 555)

         หมวดที่ 3 อ่านเข้าไปค่ะ อ่านไปเลย จนกว่าจะจำได้ อย่างที่เคยบอก ต้นเฟิร์นวาดรูปค่ะ มาเป็นแบบ step by step เลยทีเดียว ช่วยจำได้เยอะดี บางคนโชคดีที่อ่านรอบเดียวแล้วจำได้ แต่สำหรับบางคน(หนึ่งในนั้นคือต้นเฟิร์น) อาจใช้เวลามากกว่านั้น ไม่เป็นไรค่ะ ให้เวลากับมันสักหน่อย แล้วอะไรๆจะดีขึ้น อย่าท้อก่อนเป็นพอนะคะ ถ้าไม่เข้าใจจริงๆ ก็เหมือนที่เคยบอกค่ะ ไปหาคนที่เค้าเข้าใจ แล้วเค้าจะช่วยเราได้ค่ะ

         หมวดสุดท้าย หมวดนี้พอเห็นรายชื่อเรื่องแล้วรู้สึกไม่ปลอดภัยทุกทีเลย 555 ภาวนาให้ทุกคนมีหมวดนี้ให้น้อยที่สุดนะคะ
         
         สำหรับหมวดนี้เป็นหมวดที่ต้นเฟิร์นค่อนข้างปล่อยค่ะ ได้ก็คือได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ต้องเข้าใจและทำใจนะคะว่าบางอย่างถ้ามันไม่ได้ก็คือไม่ได้ค่ะ ฝืนไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่ไม่ใช่ไม่ลองพยายามก่อนนะคะ ต้นเฟิร์นอยากทุกคนลองใส่ใจกับมันหน่อย ถ้าเราพยายาม บางทีรายชื่อหมวดนี้อาจจะลดลงก็ได้ เป็นสัญญาณที่ดีนะคะ

         สำหรับต้นเฟิร์น หมวดสุดท้ายคือพวกวิชาเคมีค่ะ พวกคำนวณเนี่ย เห็นแล้วเพลีย T^T ให้อารมณ์ประมาณว่าเราเข้าใจนะ รู้วิธีการคิดด้วย แต่ทำไมคิดไม่ถูกสักที พอดูเฉลย อ้าว! คิดงี้เหรอ คนละทางกับเราเลย พอลองทำอีกข้อดูมันก็ไม่ได้สักที อย่างนี้น่ะค่ะ แต่ต้นเฟิร์นก็พยายามทำให้มากที่สุดนะคะ ตอนสุดท้ายก็พัฒนาขึ้นมานิดนึง จากไม่ใกล้เคียงคำว่าถูก เป็นอีกนิดเดียวก็จะถูกละ แล้วมันก็อยู่ขั้นนี้เรื่อยมา (สุดท้ายก็คือยังทำไม่ถูกแหละค่ะ 555) แต่อย่างน้อยก็มีการพัฒนานะคะ ^^
 




         ทุกคน เห็นมั๊ยคะว่าคนที่สอบติดหมอเนี่ย ไม่ได้เก่งไปซะทุกอย่างหรอกนะคะ (แต่ถ้าเก่งทุกอย่างได้จะดีมาก) ดูอย่างต้นเฟิร์นสิคะ มีเรื่องที่ไม่เก่งมากกว่าเก่งนะคะ ถ้าทุกๆคนเก่งไปซะทุกอย่าง อย่างนี้ก็ไม่มีคนเก่งสิคะ เพราะทุกคนเหมือนกันหมด จริงมั๊ยคะ




         ส่วนเรื่องการเก็งข้อสอบเนี่ย นอกจากการที่เรารู้แนวมาจากที่เรียนพิเศษ(ต้นเฟิร์นจะพูดถึงการเรียนพิเศษทีหลังนะคะ) เราสามารถรู้ได้จากการทำข้อสอบย้อนหลังนะคะ ยิ่งทำเยอะ จะยิ่งเห็นค่ะว่าเค้านิยมออกเรื่องอะไร ยกเว้นแต่เราจะซวยจริงๆที่ปีนั้นเปลี่ยนทีมคนออกข้อสอบ เปลี่ยนคลังข้อสอบ ถ้าเป็นอย่างนั้น ต่อให้เป็นติวเตอร์ที่เก่งเทพขนาดไหน ต้นเฟิร์นว่ายังไงก็เก็งไม่ถูกหรอกค่ะ ดังนั้นใครที่ไม่ได้เรียนพิเศษ ไม่ต้องกลัวไปหรอกนะคะ ถ้าเราตั้งใจ เราไม่แพ้เค้าหรอกค่ะ เพราะบรรดาติวเตอร์เค้าก็ทำกันอย่างนี้เหมือนกัน เพียงแต่เราไปนั่งฟังเค้าบอกเลย ไม่ได้ลงมือทำเองเท่านั้นแหละค่ะ





เขียนแล้วไม่ยาวอย่างที่คิดนะคะเนี่ย ^^ (นี่เรียกว่าไม่ยาวเหรอ???)


สำหรับคนที่ไม่รู้จะเริ่มยังไง พอจะได้แนวทางเพิ่มขึ้นไหมคะ
ลองเอาทำดูนะคะ เป็นยังไงก็เอามาบอกบ้าง อยากบอกว่าวิธีนี้ต้นเฟิร์นคิดเองเลยนะ 555 เป็นบ้าไปพักนึงเลยตอนที่ทำรายการเสร็จ สีแดงมีเพียบ T^T แต่มันก็ลดลงเรื่อยๆจนเกือบหมดแล้วค่ะ







หวังว่าจะเป็นประโยชน์กับหลายๆคนนะคะ



สู้ๆ พยายามเข้า อย่าท้อซะก่อนนะ

ต้นเฟิร์น